วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
เลขท้ายของเลขยกกำลัง
1 = 1
2 = 2,4,8,6
3 = 3,9,7,1
4 = 4,6
5 = 5
6 = 6
7 = 7,9,3,1
8 = 8,4,2,6
9 = 9,1
10 = 0
การวัด และ การเทียบหน่วย ความยาวของพื้นที่
10 มิลลิเมตร = 1 เซนติเมตร
100 เซนติเมตร = 1 เมตร
1,000 เมตร = 1 กิโลเมตร
12 นิ้ว = 1 ฟุต
3 ฟุต = 1 หลา
1,760 หลา = 1 ไมล์
12 นิ้ว = 1 คืบ
2 คืบ = 1 ศอก
1 ศอก = 1 วา
20 วา = 1 เส้น
400 เส้น = 1 โยชน์
1 วา = 2 เมตร
1 นิ้ว = 2.54 เซนติเมตร
1 หลา = 0.9144 เมตร
1 ไมล์ = 1.6093 กิโลเมตร
1 ไร่ = 4 งาน
1 ไร่ = 400 ตารางวา
1 งาน = 100 ตารางวา
1 เอเคอร์ = 4,840 ตารางหลา
1 ตารางไมล์ = 640 เอเคอร์
1 ตารางวา = 4 ตารางเมตร
1 งาน = 400 ตารางเมตร
1 ไร่ = 1,600 ตารางเมตร
1 ตารางกิโลเมตร = 625 ไร่
1 เอเคอร์ = 2.529 ไร่
100 เซนติเมตร = 1 เมตร
1,000 เมตร = 1 กิโลเมตร
12 นิ้ว = 1 ฟุต
3 ฟุต = 1 หลา
1,760 หลา = 1 ไมล์
12 นิ้ว = 1 คืบ
2 คืบ = 1 ศอก
1 ศอก = 1 วา
20 วา = 1 เส้น
400 เส้น = 1 โยชน์
1 วา = 2 เมตร
1 นิ้ว = 2.54 เซนติเมตร
1 หลา = 0.9144 เมตร
1 ไมล์ = 1.6093 กิโลเมตร
1 ไร่ = 4 งาน
1 ไร่ = 400 ตารางวา
1 งาน = 100 ตารางวา
1 เอเคอร์ = 4,840 ตารางหลา
1 ตารางไมล์ = 640 เอเคอร์
1 ตารางวา = 4 ตารางเมตร
1 งาน = 400 ตารางเมตร
1 ไร่ = 1,600 ตารางเมตร
1 ตารางกิโลเมตร = 625 ไร่
1 เอเคอร์ = 2.529 ไร่
สูตรลัดการคูณเลข 11 กรณีเลข 3 หลัก
ตัวอย่าง
11×768= 8448
(1) ขั้นตอนแรกยกเลข 8 จาก 768 สำหรับเป็นหลักหน่วยของคำตอบ
(2) ขั้นตอนที่สองเอาเลข 8 (หลักหน่วย) + 6 (หลักสิบ) = 14 บวกแล้วมากกว่า 9 ทดไว้ในขั้นถัดไป
(3) ขั้นตอนที่สามเอาเลข 6 (หลักสิบ) + 7 (หลักร้อย) + 1 (ทดจากขั้นที่ 2) = 14 แต่ผลบวกที่ได้ยังมากกว่า 9 ดังนั้นต้องนำไปทดไว้ในขั้นถัดไป
(4) ขั้นตอนสุดท้ายเหลือเลข 7 (หลักร้อย) + 1 (ทดจากขั้นที่ 3) = 8
ดังนั้นก็จะได้คำตอบ = 8448
(4) ขั้นตอนสุดท้ายเหลือเลข 7 (หลักร้อย) + 1 (ทดจากขั้นที่ 3) = 8
ดังนั้นก็จะได้คำตอบ = 8448
สูตรลัดหาผลลัพธ์กำลัง 2 ของเลขสองหลักที่ลงท้ายด้วย 5
เทคนิคเลขยกกำลัง 2 ของตัวเลข 2 หลัก ที่ลงท้ายด้วย 5
ตัวอย่าง
35 ยกกำลัง 2
วิธีทำ
วิธีทำ
(1) ขั้นตอนแรก ในที่นี้คือ นำเลขหลักแรก นั่นคือ เลข 3 คูณด้วยตัวเลขที่มีค่ามากกว่าตัวมันอยู่หนึ่ง ซึ่งก็คือ 4
ดังนั้นจะได้ 3x4 = 12
(2) ขั้นตอนที่สอง 5 ยกกำลัง 2 = 25 หรือสามารถจำค่า 25 ไปต่อหลังคำตอบได้เลย
ผลลัพธ์สุดท้ายของ 35 ยกกำลังสอง คือ 1,225 นั่นเอง
ดังนั้นจะได้ 3x4 = 12
(2) ขั้นตอนที่สอง 5 ยกกำลัง 2 = 25 หรือสามารถจำค่า 25 ไปต่อหลังคำตอบได้เลย
ผลลัพธ์สุดท้ายของ 35 ยกกำลังสอง คือ 1,225 นั่นเอง
สูตรลัดการหาผลคูณด้วย 25
การคูณด้วย 25
ให้เติม 00 ที่คู่คูณของ 25 แล้วหารด้วย 4 ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องแล้วค่ะ
ตัวอย่าง
1. 34 x 25 = 3,400 / 4 = 8502. 234 x 25 = 23,400 / 4 = 5,8503. 1,234 x 25 = 1,23400 / 4 = 30,850
สูตรสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม และเลขยกกำลัง
สูตรการหาพื้นที่รูปสามเหลี่ยม
ความยาวรอบรูปของรูปสามเหลี่ยม = ผลบวกของด้านทุกด้าน
พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม = ( 1/2 ) × ฐาน × สูง
สูตรต่างๆของรูปสี่เหลี่ยม
ความยาวรอบรูปของรูปสี่เหลี่ยมใดใด = ผลบวกของด้านทุกด้าน
สี่เหลี่ยมผืนผ้า = กว้าง × ยาว
สี่เหลี่ยมจัตุรัส = ด้าน × ด้าน
สี่เหลี่ยมด้านขนาน = ฐาน × สูง
สี่เหลี่ยมคางหมู = ( 1/2 ) × ผลบวกด้านคู่ขนาน × สูง
สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน = เศษหนึ่งส่วนสอง × ผลคูณของเส้นทแยงมุม
สี่เหลี่ยมใดใด = ( 1/2 ) × เส้นทแยงมุม × ผลบวกของเส้นกิ่ง
สี่เหลี่ยมรูปว่าว = ( 1/2 ) × ผลคูณของเส้นทแยงมุม
สูตรของวงกลม
ความยาวรอบรูปของรูปวงกลม = 2πr
พื้นที่ของรูปวงกลม = πr^2
เลขยกกำลังที่น่าจำ
21 = 2
22 = 4
23 = 8
24 = 16
25 = 32
26 = 64
27 = 128
28 = 256
29 = 512
210 = 1024
31 = 3
32 = 9
33 = 27
34 = 81
35 = 243
36 = 729
37 = 2187
38 = 6561
39 = 19683
310 = 58949
ความยาวรอบรูปของรูปสามเหลี่ยม = ผลบวกของด้านทุกด้าน
พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม = ( 1/2 ) × ฐาน × สูง
สูตรต่างๆของรูปสี่เหลี่ยม
ความยาวรอบรูปของรูปสี่เหลี่ยมใดใด = ผลบวกของด้านทุกด้าน
สี่เหลี่ยมผืนผ้า = กว้าง × ยาว
สี่เหลี่ยมจัตุรัส = ด้าน × ด้าน
สี่เหลี่ยมด้านขนาน = ฐาน × สูง
สี่เหลี่ยมคางหมู = ( 1/2 ) × ผลบวกด้านคู่ขนาน × สูง
สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน = เศษหนึ่งส่วนสอง × ผลคูณของเส้นทแยงมุม
สี่เหลี่ยมใดใด = ( 1/2 ) × เส้นทแยงมุม × ผลบวกของเส้นกิ่ง
สี่เหลี่ยมรูปว่าว = ( 1/2 ) × ผลคูณของเส้นทแยงมุม
สูตรของวงกลม
ความยาวรอบรูปของรูปวงกลม = 2πr
พื้นที่ของรูปวงกลม = πr^2
เลขยกกำลังที่น่าจำ
21 = 2
22 = 4
23 = 8
24 = 16
25 = 32
26 = 64
27 = 128
28 = 256
29 = 512
210 = 1024
31 = 3
32 = 9
33 = 27
34 = 81
35 = 243
36 = 729
37 = 2187
38 = 6561
39 = 19683
310 = 58949
วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
การคูณและหารจำนวนจริง
สูตรการคูณและหารจำนวนจริง
จำนวนจริงบวก(+) x จำนวนจริงลบ (-) = จำนวนจริงลบ (-)
จำนวนจริงลบ (-) x จำนวนจริงบวก(+) = จำนวนจริงลบ (-)
จำนวนจริงลบ (-) x จำนวนจริงลบ (-) = จำนวนจริงบวก(+)
จำนวนจริงบวก(+) / จำนวนจริงบวก(+) = จำนวนจริงบวก(+)
จำนวนจริงบวก(+) / จำนวนจริงลบ (-) = จำนวนจริงลบ (-)
จำนวนจริงลบ (-) / จำนวนจริงบวก(+) = จำนวนจริงลบ (-)
จำนวนจริงลบ (-) / จำนวนจริงลบ (-) = จำนวนจริงบวก(+)
ตัวอย่างการคูณและหารจำนวนจริง
95 x (-10) = (-950)
11 x100 = 1100
(-120) x (-10) = 1200
95 / ( -5) = (-19)
1200 / 60 = 20
(-125) / (-25) = 5
คูณพหุเก้า 99 999 9999 99999 ...
การคูณพหุเก้า 99 999 9999 99999 .....
วิธีแรก
1.สมมุติจะหาผลลัพธ์ของ 56 x 99
2.นำตัวที่จะคูณกับพหุเก้า ลบ 1 (56-1=55)
3.และหาตัวที่บวกเป็นเก้าไปเป็นคู่ ๆ เช่น
55 หาตัวที่บวกได้เก้าไปเป็นคู่ ๆ ก็คือ 5 บวกอะไรได้เก้า ก็คือ 4 แล้วนำไปต่อท้ายจำนวน
เดิมเป็น 554 แล้วหาคู่ต่อไป คือ 5 บวกอะไรได้เก้า ก็คือ 4 เช่นเดิม แล้วนำไปต่อท้ายเป็น
5544 ดังนั้น 56 x 99 = 5544
คือเอาหลักหน่วยของทั้งสองจำนวนมาคูณกันก่อน ได้เท่าไหร่เขียนไว้ด้านท้าย (ถ้าได้หลักเดียว ให้ใส่ 0 ข้างหน้าอีกตัวให้ได้สองหลัก) จากนั้น เอา (เลขด้านหน้า)*(เลขด้านหน้า+1) ได้เท่าไหร่เขียนใส่ไว้ด้านหน้า
91*99 = 9009
92*98 = 9016
104*106 = 11024
209*201 = 42009
2.นำตัวที่จะคูณกับพหุเก้า ลบ 1 (56-1=55)
3.และหาตัวที่บวกเป็นเก้าไปเป็นคู่ ๆ เช่น
55 หาตัวที่บวกได้เก้าไปเป็นคู่ ๆ ก็คือ 5 บวกอะไรได้เก้า ก็คือ 4 แล้วนำไปต่อท้ายจำนวน
เดิมเป็น 554 แล้วหาคู่ต่อไป คือ 5 บวกอะไรได้เก้า ก็คือ 4 เช่นเดิม แล้วนำไปต่อท้ายเป็น
5544 ดังนั้น 56 x 99 = 5544
วิธีที่สอง (ใช้ได้กับทุกจำนวน ไม่เฉพาะ พหุคูณเก้า)
คือเอาหลักหน่วยของทั้งสองจำนวนมาคูณกันก่อน ได้เท่าไหร่เขียนไว้ด้านท้าย (ถ้าได้หลักเดียว ให้ใส่ 0 ข้างหน้าอีกตัวให้ได้สองหลัก) จากนั้น เอา (เลขด้านหน้า)*(เลขด้านหน้า+1) ได้เท่าไหร่เขียนใส่ไว้ด้านหน้า
91*99 = 9009
92*98 = 9016
104*106 = 11024
209*201 = 42009
การทดลองสุ่ม
การทดลองสุ่ม คือ การกระทำที่เราทราบว่าผลทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง แต่ไม่สามารถบอกอย่างถูกต้องแน่นอนว่าจะเกิดผลอะไรจากผลทั้งหมดที่เป็นไปได้เหล่านั้น
จากการทดลองสุ่มและเราสามารถเขียนทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นจากการทดลองสุ่มได้ โดยอาจใช้แผนภาพช่วย
แซมเปิลสเปซ คือ กลุ่มของผลลัพธ์ที่อาจเป็นไปได้ทั้งหมดจากการทดลองสุ่ม
ความน่าจะเป็นทางปฏิบัติ
= จำนวนครั้งในการทดลองแล้วได้ผลในเหตุการณ์ / จำนวนครั้งที่ทดลอง
- ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ใดๆ จะเป็นจำนวนใดจำนวนหนึ่งตั้งแต่ 0 ถึง 1
ในเรื่องสถิตินี้ประกอบไปด้วยจากการทดลองสุ่มและเราสามารถเขียนทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นจากการทดลองสุ่มได้ โดยอาจใช้แผนภาพช่วย
แซมเปิลสเปซ คือ กลุ่มของผลลัพธ์ที่อาจเป็นไปได้ทั้งหมดจากการทดลองสุ่ม
ความน่าจะเป็นทางปฏิบัติ
= จำนวนครั้งในการทดลองแล้วได้ผลในเหตุการณ์ / จำนวนครั้งที่ทดลอง
- ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ใดๆ จะเป็นจำนวนใดจำนวนหนึ่งตั้งแต่ 0 ถึง 1
1.ตารางแจกแจงความถี่ จะประกอบด้วย
1. อันตรภาคชั้น คือ ช่วงของตัวเลขที่แบ่งเป็นชั้นๆในตารางแจกแจงความถี่
2. ข้อมูลดิบ คือ ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลโดยตรง
3. ความถี่ คือ จำนวนของข้อมูลดิบในแต่ละช่วงของอันตรภาคชั้น
ความรู้ในการสร้างตารางแจกแจงความถี่
1. ในการสร้างตารางแจกแจงความถี่ จำนวนอันตรภาคชั้นที่นิยมใช้กันคือ 5 ถึง 15 อันตรภาคชั้นตามความมากน้อยของข้อมูล
2. ในการสร้างตารางแจกแจงความถี่ ความกว้างของอันตรภาคชั้นไม่จำเป็นต้องเท่ากันทุกชั้น
3. ในกรณีที่มีคะแนนดิบเป็นจำนวนมากๆ ถ้าค่าที่น้อยที่สุดและค่าที่มากที่สุดของอันตรภาคชั้นเป็นค่าที่สังเกตได้ง่าย การบันทึกกร่อยคะแนนจะสะดวกขึ้น
2.ขอบล่าง = ค่าที่น้อยที่สุดของอันตรภาคชั้นนั้น + ค่าที่มากที่สุดของอันตรภาคชั้นที่ต่ำกว่าหนึ่งชั้น/2
3.ขอบบน = ค่าที่มากที่สุดของอันตรภาคชั้นนั้น + ค่าที่น้อยที่สุดของอันตรภาคชั้นที่สูงกว่าหนึ่งชั้น/2
4. ความกว้างของอันตรภาคชั้น = ขอบล่าง – ขอบบน
5. จุดกึ่งกลางชั้น= ( ขอบบน + ขอบล่าง ) / 2
หรือ จุดกึ่งกลางชั้น = ค่าที่น้อยที่สุดของอันตรภาคชั้น + ค่าที่มากที่สุดของอันตรภาคชั้น/2
6. ค่ากลางของข้อมูล
ค่ากลางของข้อมูล คือ ค่าที่สามารถนำมาแทนข้อมูลกลุ่มนั้นๆ เพื่อที่จะใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นๆได้
ค่ากลางของข้อมูล สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่
1. ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ได้จากการหารผลบวกของข้อมูลทั้งหมดด้วยจำนวนข้อมูล
2. ฐานนิยม คือ ข้อมูลที่มีความถี่สูงสุดในข้อมูลนั้น
3. มัธยมฐาน คือ ค่าที่อยู่กึ่งกลางของข้อมูลทั้งหมดซึ่งเมื่อเรียงข้อมูลชุดนั้นจากน้อยไปมาก หรือจากมาไปน้อยแล้ว ข้อมูลที่มากกว่าค่านั้น
เอกนาม พหุนาม
เอกนาม คือ นิพจน์ที่สามารถเขียนให้อยู่ในรูปการคูณของค่าคงตัวกับตัวแปรตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไป โดยที่เลขชี้กำลังของตัวแปรแต่ละตัวเป็นศูนย์หรือจำนวนเต็มบวก
พหุนาม คือ นิพจน์สามารถเขียนในรูปเอกนามหรือสามารถเขียนในรูปการบวกของเอกนามตั้ง
แต่สองเอกนามขึ้นไป
ตัวประกอบของพหุนาม คือ การเขียนพหุนามนั้นในรูปของการคูณของพหุนามที่มีดีกรีต่ำกว่า
พหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว คือ พหุนามที่เขียนได้ในรูป ax2 + bx +cเมื่อ a, b, c เป็นค่าคงตัวที่a 0 และ x เป็นตัวแปร
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง
x2+ bx + c เมื่อ b และ c เป็นจำนวนเต็ม ทำได้เมื่อสามารถหาจำนวนเต็มสองจำนวนที่คูณกันได้ c และบวกกันได้ b ให้ d และ e แทนจำนวนเต็มสองจำนวนดังกล่าว ดังนั้น
de = c
d + e = b
ฉะนั้น x2 + bx + c = x2 + (d + e)x + de
= ( x2 + dx ) + ( ex + de )
= ( x + d )x + ( x + d )e
= ( x + d ) ( x + e )
ดังนั้น x2 + bx +c แยกตัวประกอบได้เป็น ( x + d ) ( x + e )
ตัวอย่าง
(6x-5) (x+1) = (6x-5) (x) + (6x-5) (1)
= 6x2 – 5x + 6x – 5
= 6x2 + (5x+6x) – 5
= 6x2 -5x +6x -5
= 6x2 + x – 5
จากตัวอย่างข้างต้น อาจแสดงวิธีหาพหุนามที่เป็นผลลัพธ์ได้ดังนี้
1. (6x – 5)(x + 1) = 6x2 - พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บแรก x พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บหลัง = พจน์หน้าของพหุนามของผลลัพธ์
2. (6x - 5)(x + 1) = -5 -พจน์หลังของพหุนามวงเล็บแรก x พจน์หลังของพหุนามวงเล็บหลัง = พจน์หลังของพหุนามของผลลัพธ์
3. (6x – 5)(x + 1) = 6x + (-5x ) - พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บแรก x พจน์หลังของพหุนามวงเล็บหลัง + พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บแรก x พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บหลัง
พจน์กลางของพหุนามที่เป็นผลลัพธ์
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองที่เป็นกำลังสองสมบูรณ์
กำลังสองสมบูรณ์ คือ พหุนามดีกรีสองที่แยกตัวประกอบแล้วได้ตัวประกอบเป็นพหุนามดีกรีหนึ่งซ้ำกัน
ดังนั้น พหุนามดีกรีสองที่เป็นกำลังสองสมบูรณ์แยกตัวประกอบได้ดังนี้
x2 + 2ax + a2 = ( x + a )2
x2 – 2ax + a2 = ( x – a )2
รูปทั่วไปของพหุนามที่เป็นกำลังสองสมบูรณ์คือ a2 +2ab + b2 และ a2 -2ab +b2 เมื่อ a และ b เป็นพหุนาม แยกตัวประกอบได้ดังนี้
สูตร a2 +2ab + b2 = ( a + b )2
a2 -2ab +b2 = (a-b)2
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองที่เป็นผลต่างของกำลังสอง
พหุนามดีกรีสองที่สามารถเขียนได้ในรูป x2 – a2 เมื่อ a เป็นจำนวนจริงบวกเรียกว่า ผลต่างของกำลังสอง
จาก x2 – a2 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้ x2 – a2 = ( x + a ) ( x – a )
สูตร x2 – a2 = ( x + a ) (x-a)
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองโดยวิธีทำเป็นกำลังสองสมบูรณ์
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง x2 + bx + c โดยวิธีทำเป็นกำลังสองสมบูรณ์ สรุปได้คือ
1. จัดพหุนามที่กำหนดให้อยู่ในรูป x2 + 2px +c หรือ x2 -2px +c เมื่อ p เป็นจำนวนจริงบวก
2. ทำบางส่วนของพหุนามที่จัดไว้ในข้อ 1 ให้อยู่ในรูปกำลังสองสมบูรณ์ โดยนำกำลังสองของ p บวกเข้าและลบออกดังนี้
x2 + 2px +c = ( x2 + 2px + p2 ) – p2 + c
= ( x + p)2 – ( p2 - c )
x2 – 2px + c = ( x2 - 2px + p2 ) – p2 + c
= ( x - p)2 – ( p2 - c )
3. ถ้า p2 – c = d2 เมื่อ d เป็นจำนวนจริงบวกจากข้อ 2 จะได้
x2 + 2px + c = ( x + p)2 – d2
x2 - 2px + c = ( x - p)2 – d2
4. แยกตัวประกอบของ ( x + p )2 – d2 หรือ ( x – p )2 – d2 โดยใช้สูตรการแยกตัวประกอบของผลต่างของกำลังสอง
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสูงกว่าสองที่มีสัมประสิทธิ์เป็นจำนวนเต็ม
พหุนามที่อยู่ในรูป A3 + B3 และ A3 - B3 ว่าผลบวกของกำลังสาม ตามลำดับ
สูตร A3 + B3 = ( A + B )( A2 –AB + B2)
A3 - B3 = ( A - B )( A2 +AB + B2)
พหุนาม คือ นิพจน์สามารถเขียนในรูปเอกนามหรือสามารถเขียนในรูปการบวกของเอกนามตั้ง
แต่สองเอกนามขึ้นไป
ตัวประกอบของพหุนาม คือ การเขียนพหุนามนั้นในรูปของการคูณของพหุนามที่มีดีกรีต่ำกว่า
พหุนามดีกรีสองตัวแปรเดียว คือ พหุนามที่เขียนได้ในรูป ax2 + bx +cเมื่อ a, b, c เป็นค่าคงตัวที่a
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง
x2+ bx + c เมื่อ b และ c เป็นจำนวนเต็ม ทำได้เมื่อสามารถหาจำนวนเต็มสองจำนวนที่คูณกันได้ c และบวกกันได้ b ให้ d และ e แทนจำนวนเต็มสองจำนวนดังกล่าว ดังนั้น
de = c
d + e = b
ฉะนั้น x2 + bx + c = x2 + (d + e)x + de
= ( x2 + dx ) + ( ex + de )
= ( x + d )x + ( x + d )e
= ( x + d ) ( x + e )
ดังนั้น x2 + bx +c แยกตัวประกอบได้เป็น ( x + d ) ( x + e )
ตัวอย่าง
(6x-5) (x+1) = (6x-5) (x) + (6x-5) (1)
= 6x2 – 5x + 6x – 5
= 6x2 + (5x+6x) – 5
= 6x2 -5x +6x -5
= 6x2 + x – 5
จากตัวอย่างข้างต้น อาจแสดงวิธีหาพหุนามที่เป็นผลลัพธ์ได้ดังนี้
1. (6x – 5)(x + 1) = 6x2 - พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บแรก x พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บหลัง = พจน์หน้าของพหุนามของผลลัพธ์
2. (6x - 5)(x + 1) = -5 -พจน์หลังของพหุนามวงเล็บแรก x พจน์หลังของพหุนามวงเล็บหลัง = พจน์หลังของพหุนามของผลลัพธ์
3. (6x – 5)(x + 1) = 6x + (-5x ) - พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บแรก x พจน์หลังของพหุนามวงเล็บหลัง + พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บแรก x พจน์หน้าของพหุนามวงเล็บหลัง
พจน์กลางของพหุนามที่เป็นผลลัพธ์
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองที่เป็นกำลังสองสมบูรณ์
กำลังสองสมบูรณ์ คือ พหุนามดีกรีสองที่แยกตัวประกอบแล้วได้ตัวประกอบเป็นพหุนามดีกรีหนึ่งซ้ำกัน
ดังนั้น พหุนามดีกรีสองที่เป็นกำลังสองสมบูรณ์แยกตัวประกอบได้ดังนี้
x2 + 2ax + a2 = ( x + a )2
x2 – 2ax + a2 = ( x – a )2
รูปทั่วไปของพหุนามที่เป็นกำลังสองสมบูรณ์คือ a2 +2ab + b2 และ a2 -2ab +b2 เมื่อ a และ b เป็นพหุนาม แยกตัวประกอบได้ดังนี้
สูตร a2 +2ab + b2 = ( a + b )2
a2 -2ab +b2 = (a-b)2
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองที่เป็นผลต่างของกำลังสอง
พหุนามดีกรีสองที่สามารถเขียนได้ในรูป x2 – a2 เมื่อ a เป็นจำนวนจริงบวกเรียกว่า ผลต่างของกำลังสอง
จาก x2 – a2 สามารถแยกตัวประกอบได้ดังนี้ x2 – a2 = ( x + a ) ( x – a )
สูตร x2 – a2 = ( x + a ) (x-a)
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสองโดยวิธีทำเป็นกำลังสองสมบูรณ์
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง x2 + bx + c โดยวิธีทำเป็นกำลังสองสมบูรณ์ สรุปได้คือ
1. จัดพหุนามที่กำหนดให้อยู่ในรูป x2 + 2px +c หรือ x2 -2px +c เมื่อ p เป็นจำนวนจริงบวก
2. ทำบางส่วนของพหุนามที่จัดไว้ในข้อ 1 ให้อยู่ในรูปกำลังสองสมบูรณ์ โดยนำกำลังสองของ p บวกเข้าและลบออกดังนี้
x2 + 2px +c = ( x2 + 2px + p2 ) – p2 + c
= ( x + p)2 – ( p2 - c )
x2 – 2px + c = ( x2 - 2px + p2 ) – p2 + c
= ( x - p)2 – ( p2 - c )
3. ถ้า p2 – c = d2 เมื่อ d เป็นจำนวนจริงบวกจากข้อ 2 จะได้
x2 + 2px + c = ( x + p)2 – d2
x2 - 2px + c = ( x - p)2 – d2
4. แยกตัวประกอบของ ( x + p )2 – d2 หรือ ( x – p )2 – d2 โดยใช้สูตรการแยกตัวประกอบของผลต่างของกำลังสอง
การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสูงกว่าสองที่มีสัมประสิทธิ์เป็นจำนวนเต็ม
พหุนามที่อยู่ในรูป A3 + B3 และ A3 - B3 ว่าผลบวกของกำลังสาม ตามลำดับ
สูตร A3 + B3 = ( A + B )( A2 –AB + B2)
A3 - B3 = ( A - B )( A2 +AB + B2)
เราสามารถหาคำตอบของสมการ ax2 + bx + c = 0
ได้จากสูตร x = เมื่อ a, b, c เป็นค่าคงตัว a 0 และ b2 – 4ac 0
สมการกำลังสอง ax2 + bx + c = 0 เมื่อ a, b, c เป็นค่าคงตัว a 0 และ b2 – 4ac < 0 ไม่มีจำนวนจริงเป็นคำตอบ
ได้จากสูตร x =
สมการกำลังสอง ax2 + bx + c = 0 เมื่อ a, b, c เป็นค่าคงตัว a
ขั้นตอนในการหาคำตอบปัญหาโดยใช้สมการ
1. อ่านปัญหา
2. สมมุติตัวแปรหนึ่งตัว แทนจำนวนที่ต้องการทราบค่า
3. หาสมการที่แสดงความเกี่ยวข้องของตัวแปรกับจำนวนอื่นๆ ที่ทราบค่า
4. แก้สมการ
5. ใช้คำตอบของสมการหาคำตอบของปัญหา
6. ตรวจคำตอบ
1. อ่านปัญหา
2. สมมุติตัวแปรหนึ่งตัว แทนจำนวนที่ต้องการทราบค่า
3. หาสมการที่แสดงความเกี่ยวข้องของตัวแปรกับจำนวนอื่นๆ ที่ทราบค่า
4. แก้สมการ
5. ใช้คำตอบของสมการหาคำตอบของปัญหา
6. ตรวจคำตอบ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)